วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

คุยเล่นเรื่องเข่า(ไม่ใช่เล่นๆเลย)

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอยู่
ต้องขอโทษด้วยที่หายไปพักใหญ่ๆ
เพราะผมไปซ้อมรับพระราชทานกระบี่และตอนนี้ก็รับเรียบร้อยแล้วครับ
สำหรับคนที่ปวดเข่าอยู่หรือว่าต้องการป้องกัน
ก็ต้องขยันๆดูแลตัวเองหน่อยนะครับ
เพราะถ้าอยากมีสุขภาพดีก็ต้องดูแลตัวเอง
ถ้าหาเป็นโรคแล้วใช้ยาเนี่ย
มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
เช่นการปวดเข่าเนี่ยเมื่อไปหาหมอ
หมอก็จะให้ยามกินใช่หรือไม่
ตอบตามไปด้วยนะครับ
ระหว่างกินก็ไม่ปวดใช่หรือไม่
พอยาหมดก็คิดว่าหายแล้วใช่หรือไม่
แต่พอใช้ไปพักหนึ่งกลับมาปวดอีกใช่หรือไม่
เห็นไหมหล่ะครับว่ามันคือปลายเหตุจริงๆ
แล้วทำอย่างไรหล่ะเราถึงจะแก้ตรงต้นเหตุได้
เราก็ต้องหมั่นดูแลร่างกายให้แข็งแรง
มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่คุณดูแลมันคุณก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดซ้ำๆซากๆจากการใช้ยาอีกเลย
อย่าลืมนะครับว่าใช้งานมันมันก็ต้องมีการสึกหรอด้วย
แม้ว่าจะบริหารให้ข้อเข่าแข็งแรงแล้วก็ตาม
แต่คุณก็ต้องเสริมสร้างส่วนที่มันสึกหรอไปด้วยนะครับ
โชคดีมีความสุขกับสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ

สนใจแนวทางป้องกัน ดูแลสุขภาพของข้อเข่า 
และข้อต่อต่างๆในร่างกาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
บทความอ่านเล่นที่จะเปิดวิสัยทัศน์ของคุณให้กว้างไกล

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

อาหารที่ทานกับการเป็น โรคเก๊าท์

ไก่ทอด

อาหารที่ทานกับการเป็นเกาต์ (Men's Health)

เรื่องโดย เจดีย์ 

          ในหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เขียนข้อความชวนอมยิ้มไว้ว่า "หลายคนมองว่าเกาต์เป็นโรคที่เกิดจากการกินดีอยู่ดีมากเกินไป และเห็นภาพเจ้าตัวพุงพลุ้ยนั่งกระดกเบียร์เป็นเหยือก ๆ แกล้มขาหมูทอดมัน ๆ" ซึ่งอันที่จริงแล้วเกาต์เป็นโรคข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกชนชั้น และทุกวรรณะต่างหากล่ะ 

          ทั้งนี้เกาต์จะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายของเรามีกรดยูริคในเลือดมากจนเกินไป แล้วตกตะกอนภายในข้อ หรือระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรืออาจเกิดนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะได้

          มีรายงานจาก หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ระบุว่า เกาต์มีสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมที่ร่างกายของเรา อาจมีความสามารถในการขับกรดยูริคได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคขึ้น ทั้งนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า กรดยูริคในเลือดที่สูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากร่างกายผลิตเอง หลายท่านเลยให้ความเห็นว่า ดังนั้นอาจไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยโรคเกาต์งดอาหารที่มีสาร "พิวรีน" (สารในอาหารซึ่งจะสลายเป็นกรดยูริค)
 
          อย่างไรก็ตามมีแพทย์หลายท่านให้ข้อสังเกตว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการอักเสบของข้อเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากที่ทานอาหารบางอย่าง (ซึ่งอาจเป็นของแสดงต่อร่างกายของเขา) จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเกาต์ แต่อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้นได้ในกรณีของคนที่มีอาการของโรคอยู่แล้ว ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะก่อให้เกิดการอักเสบ หรืออาหารบางอย่างที่จัดเป็นของแสลงต่อร่างกายตนเอง

          คนป่วยโรคเกาต์ควรเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นอาจยังไม่จำเป็นต้องเลี่ยง เพียงแต่ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อิ่มท้อง อิ่มใจ แบบไม่ต้องทรมานความอยากมากเกินไปก็พอแล้ว 

          เอาล่ะ มาดูกันดีกว่าว่าพวกเรา (ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยพุงพลุ้ยหรือไม่ก็ตาม) ควรกินอะไรเพื่อให้ห่างไกลเกาต์ และลดปริมาณกรดยูริคในร่างกายลงได้บ้าง

"ไก่" กับ "เกาต์"

          "อย่ากินไก่เยอะนะ เดี๋ยวเป็นเกาต์" ดูเหมือนพวกเราจะได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างนี้กันอยู่เนือง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วไก่ก็มีความเกี่ยวพันกับอาการเกาต์จริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะเนื้อไก่มีสารพิวรีนอยู่สูงปานกลาง ถ้ากินเยอะ ๆ อาจกระตุ้นให้ผู้ที่มีอาการเกาต์อยู่แล้ว เกิดการอักเสบมากขึ้น ทว่าอย่าเพิ่งถึงขั้นงดกินเลยครับ เพราะนักกำหนดอาหารแห่งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้แนะนำว่า คงไม่ต้องถึงกับงดทานสัตว์ปีกหรอกครับ เพียงแต่อาจต้องลดความถี่ในการทาน หรือทานในบริเวณที่เสี่ยงน้อย เช่น ไม่ทานตรงข้อ หรือทานบริเวณอกไก่แทนก็ได้ครับ

รู้หรือเปล่าว่า...

          ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 20 เท่า โดยมักพบในผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงจะพบได้บ่อยเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี หรือช่วงวัยหมดประจำเดือน

การหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่มี "พิวรีน" สูง

          นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ บอกกับ Men’s Health ว่า "คุณไม่จำเป็นต้องงดอาหารทั้งหมด แต่อาจต้อง "ลด" ปริมาณลง" และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้ว่าจะ "งดหรือลดอะไร" หากอยากห่างไกลจากอาการปวดข้ออันทรมาน

           1.ลดอาหารที่มีปริมาณพิวรีน 75 มิลลิกรัม ในอาหาร 100 กรัม โดยแนะนำให้เลือกรับประทานได้ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื้อสัตว์รับประทานได้ 60-90 กรัมต่อครั้ง ผักในกลุ่มด้านล่างนี้รับประทาน ½ ถ้วยตวงต่อวัน ได้แก่

               เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ปู ปลาแซลมอน กุ้งมังกร หอยนางรม แฮม
               ผัก เช่น ดอกกะหล่ำปลี เห็ด ผักโขม ถั่วลันเตา หน่อไม้ฝรั่ง
               ข้าวแป้ง เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังหวานประเภทโรล บิสกิต วีตเจิร์ม (จมูกข้าวสาลี)

           2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีน 75-150 มิลลิกรัม ในอาหาร 100 กรัม ควรเลือกรับประทานอาหารในกลุ่มนี้สัปดาห์ละครั้ง ได้แก่

               เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อกระต่าย เบคอน ลิ้นวัว เป็ด ห่าน นกพิราบ ปลาไหล หอยต่าง ๆ ไข่นกกระทา

               ผัก เช่น ตำลึง สะตอ ใบขี้เหล็ก (ครั้งละ ½ ถ้วยตวง)

           3.งดอาหารที่มีสารพิวรีนสูงมาก คือ 150-1,000 มิลลิกรัมในอาหาร 100 กรัม ได้แก่

               เครื่องในสัตว์ทุกชนิด อาหารทะเลบางชนิด (ปลาไส้ตัน ปลาอินทรีย์ ปลาซาร์ดีน กุ้ง หอยเซลล์ กะปิ ไข่ปลา) น้ำสกัดหรือตุ๋นเนื้อ น้ำเกรวี น้ำปลา ซุป ซุปก้อน ยีสต์ ธัญพืช (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง) ผักบางชนิด (กระกิน ชะอม)

           4.หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และน้ำตาล 

          แม้เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จะมีพิวรีนไม่มาก (ในหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ระบุว่า เบียร์มีพิวรีนเยอะสุด) แต่กระบวนการเผาผลาญแอลกอฮอล์ของร่างกายจะทำให้เกิดกรดยูริคได้ ดังนั้นอดใจงดดื่มได้ก็งดเถอะครับ นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาในอเมริกายังรายงานว่า น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลจากข้าวโพด จะไปเพิ่มกรดยูริคให้ร่างกายได้ด้วยครับ

อาหารที่แนะนำให้ทาน

          จากหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ได้แนะนำอาหารที่ใช้ในการบำบัดหรือบรรเทาอาการของโรคเกาต์ไว้ดังนี้

 เชอร์รีสด 

          งานวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทดลองในผู้หญิงพบว่า ระดับกรดยูริคในเลือดลดลง แต่จะไปเพิ่มขึ้นในปัสสาวะ เมื่อให้หญิงสาวอดอาหารและกินเชอร์รีลูกโต นอกจากนี้ยังพบว่า เชอร์รีดำ เชอร์รีเหลือง และเชอร์รีแดง รสเปรี้ยว ก็มีประโยชน์เช่นกัน

 เต้าหู้ ถั่วแระญี่ปุ่น น้ำเต้าหู้ และอาหารจากถั่วเหลือง 

          คนที่มีอาการโรคเกาต์ ควรต้องลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่ก็ไม่ควรให้ร่างกายขาดโปรตีน ดังนั้นโปรตีนจากถั่วเหลืองน่าจะเป็นทางออกที่ดี งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ถั่วเหลืองช่วยลดกรดยูริคได้ ปริมาณที่แนะนำคือ ทานถั่วเหลือง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก

 มะเขือเทศ พริกหวาน และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี

          งานวิจัยของมหาวิทยาลัยทัฟต์สในอเมริกาพบว่า ผู้ที่ทานอาหารที่ทำจากมะเขือเทศ พริกหวานเขียว และผักที่มีวิตามินซีสูง วันละ 2 ถ้วย ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ มีระดับกรดยูริคในเลือดลดลงหลังจากการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้พืชผักสีแดงที่มีสารต้านอนุมูลอิสระไลโคปีนอาจช่วยลดกรดยูริคได้

 น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา อะโวคาโด และอาหารที่อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัว 

          มีงานวิจัยจำนวนมากพบว่า ไขมันไม่อิ่มตัวที่พบในอาหารเหล่านี้อาจช่วยลดกรดยูริค รวมถึงงานวิจัยในแอฟริกาใต้ที่เปิดเผยว่า เมื่อให้ผู้ป่วยโรคเกาต์ทานไขมันไม่อิ่มตัวแทนไขมันอิ่มตัว พบว่าระดับกรดยูริคในเลือดของพวกเขาลดลง 17.5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 16 สัปดาห์ นอกจากนี้การได้รับแคลอรีเพิ่มขึ้นจากไขมันไม่อิ่มตัว ยังอาจช่วยลดระดับอินซูลิน ซึ่งช่วยป้องกันโรคเกาต์กำเริบในทางอ้อม

 น้ำและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 

          น้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ จะช่วยชำระกรดยูริคออกจากร่างกายได้ แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

เมนูลดอาการปวดข้อ

          เมนู 3 วันที่จัดใส่จานเสิร์ฟถึงมือผู้อ่าน โดย หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร ประจำศูนย์เบาหวานไทรอยด์ โรงพยาบาลเทพธารินทร์

 วันที่ 1

          มื้อเช้า – ซีเรียล (ไม่ขัดสี) ประมาณ 2 ถ้วยตวง นมปราศจากไขมัน 1 กล่อง
          มื้อเที่ยง – ข้าวไก่อบ (เลือกอกไก่) ส้มเขียวหวาน 1-2 ผล
          มื้อเย็น – สุกี้น้ำ (ใส่น้ำจิ้มเล็กน้อย) แก้วมังกร ½ ผล

 วันที่ 2

          มื้อเช้า – ข้าวต้มกุ้ง 1 ชาม กาแฟหรือชาร้อน 1 ถ้วย
          มื้อเที่ยง – ก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ใส่เครื่องใน แคนตาลูป 6-8 ชิ้น (พอดีคำ)
          มื้อเย็น – ข้าวสวย แกงจืดเต้าหูหมูสับ น้ำส้มคั้น 100% 120 ซี.ซี.

 วันที่ 3

          มื้อเช้า – แซนด์วิชไข่ต้มใส่ผักกาดหอม และมะเขือเทศ โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
          มื้อเที่ยง – ผัดผักรวมราดข้าว น้ำแตงโมปั่น (หวานน้อย) 1 แก้ว (200 ซี.ซี.)
          มื้อเย็น – ข้าวสวย ต้มยำกุ้งน้ำใส แอปเปิ้ลเขียว 1 ผล

          ของหวานหรือขนม - วุ้นเจลาติน / เวเฟอร์ / สมูทตี้แบบไขมันต่ำ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ยังไงก็หมั่นดูแลตัวเองและคนที่เพื่อนๆรักด้วยนะครับ
ข้อเข่าหรือข้อต่อต่างๆเพื่อนๆใช้งานมันทุกวันๆ
ถ้าไม่ดูแลมันก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
อาจจะถึงขั้นที่เดินไม่ได้เลยนะครับ
อย่าให้เป็นเลยจะดีที่สุดครับ
เพราะเป็นแล้วไม่มีความสุขหรอกครับ
ทำอะไรที่อยากทำก็ลำบาก
ไปที่ไหนที่อยยากไปก็ลำบาก
ผมขอฝากไว้ด้วยนะครับ
ขอให้เพื่อนๆและคนที่เพื่อนๆรักมีสุขภาพดีครับ

ผมเป็นห่วงเพื่อนๆของผมทุกคนนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับขอให้สุขภาพแข็งแรง
และมีความสุขกับบทความต่างๆของผม
สวัสดีครับ

สาว ๆ อย่าลืมดูแล..หัวเข่า

หัวเข่า

สาว ๆ อย่าลืมดูแล..หัวเข่า (Modernmom)
โดย: เอกเขนก
 
คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม...

           รู้สึกเสียวที่หัวเข่าเวลาเดินขึ้น-ลงบันได
           ปวดข้อเข่าเวลาอากาศเย็น
           ชอบนั่งพับขานาน ๆ เป็นประจำ
           ต้องเดินหรือยืนนาน ๆ
 
ถ้าคุณเคยมีอาการหรือลักษณะเช่นนี้ แสดงว่ามีสัญญาณของการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแล้วค่ะ

          หัวเข่าเป็นข้อที่ใหญ่ และทำงานมากในการรับน้ำหนักในการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งในข้อเข่าจะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ แต่ก็จะลดน้อยลงไปทุกวัน ส่งผลให้เมื่อมีการเคลื่อนไหวของเข่าก็ จะเกิดการเสียดสีและเกิดการสึกหรอของกระดูกอ่อน ผิวของกระดูกอ่อนจะแข็ง ผิวไม่เรียบ เมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่าก็จะเกิดเสียงดังในข้อ และเกิดอาการเจ็บปวด โดยผู้หญิงจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า!
 
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดข้อเข่าเสื่อม

           1. น้ำหนัก ยิ่งน้ำหนักตัวมากจะทำให้ข้อเข่ายิ่งเสื่อมเร็ว

           2. การใช้ข้อเข่ามาก ๆ เช่น ผู้ที่นั่งยอง ๆ นั่งขัดขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนาน ๆ

           3. การได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่า ไม่ว่าจะกระดูกข้อเข่าแตกหรือเอ็นฉีก

           4. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียง
 
บริหารข้อเข่า

          การบริหารข้อเข่า ควรเป็นการบริหารที่ไม่ทำให้เกิดแรงกดบนข้อเข่ามากเกินไป ยิ่งผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากไม่ควรออกกำลังกายโดยการกระโดดรุนแรง
 
ลองใช้ท่าต่อไปนี้บริหารเข่าดูค่ะ

           1. ยืนตรง เท้าชิด หันด้านข้างเข้าหาบาร์ อาจจะเป็นตู้ หรือเก้าอี้ที่มั่นคง ซึ่งคุณแน่ใจว่าสามารถรองรับน้ำหนักของคุณได้

           2. ย่อเข่าลง เก็บก้นและหน้าท้อง โดยดันสะโพกไปข้างหน้า

           3. เขย่งปลายเท้าขึ้น ค้างไว้นับ 1-8 แล้วเอาลง ทำจนครบ 8 ครั้งต่อเซ็ตแล้วปลี่ยนข้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ยังไงก็หมั่นดูแลตัวเองและคนที่เพื่อนๆรักด้วยนะครับ
ข้อเข่าหรือข้อต่อต่างๆเพื่อนๆใช้งานมันทุกวันๆ
ถ้าไม่ดูแลมันก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
อาจจะถึงขั้นที่เดินไม่ได้เลยนะครับ
อย่าให้เป็นเลยจะดีที่สุดครับ
เพราะเป็นแล้วไม่มีความสุขหรอกครับ
ทำอะไรที่อยากทำก็ลำบาก
ไปที่ไหนที่อยยากไปก็ลำบาก
ผมขอฝากไว้ด้วยนะครับ
ขอให้เพื่อนๆและคนที่เพื่อนๆรักมีสุขภาพดีครับ

ผมเป็นห่วงเพื่อนๆของผมทุกคนนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับขอให้สุขภาพแข็งแรง
และมีความสุขกับบทความต่างๆของผม
สวัสดีครับ

ดูแลข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีง่าย ๆ

 

Osteoarthritis of the knee (Mix Magazine)

          อาการข้อหัวเข่าเสื่อมนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าข้อเข่าประกอบไปด้วยกระดูกสำคัญ ๆ 3 ส่วนนั่นก็คือ กระดูกต้นขา ซึ่งเป็นกระดูกส่วนบนของเข่า ส่วนที่สองเป็นกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งเป็นกระดูกส่วนล่างของหัวเข่า และส่วนสุดท้ายก็คือกระดูกลูกสะบ้าซึ่งเป็นกระดูกที่อยู่ด้านหน้าโดยในส่วนบริเวณข้อเข่านั้นจะมีกระดูกอ่อน ๆ อยู่เป็นรูปครึ่งวงกลม กระดูกชิ้นนี้นี่เองที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำหน้าที่กระจายน้ำหนักเพื่อให้กระดูกรับน้ำหนักมากเกินไป

          ในข้อเข่าของเรานั้นยังมีน้ำที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข่า ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันการสึกหรอ เวลาที่เราขยับ กระโดด วิ่ง หรือแม้กระทั่งเดินเฉย ๆ ก็ตาม

          คนส่วนมากไม่ค่อยบริหารข้อเข่าสักเท่าไรแต่ใช้งานมันอย่างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่าไม่ค่อยแข็งแรง และเมื่ออายุมากขึ้นหรือกระดูกอ่อนของข้อมีการเสื่อมสภาพ ทำให้กระดูกอ่อนไม่สามารถเป็นตัวที่รองรับน้ำหนักได้และเมื่อได้รับการกระทบกระเทือนหรือกระแทกแรง ๆ เข้าก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นและเมื่อข้อเข่ามีการอักเสบขึ้นก็จะสร้างน้ำข้อเข่าเพิ่มขึ้น ทำให้กลายเป็นอาการบวมและปวดเข่ามากยิ่งขึ้นบางคนขยับเข่าก็มีเสียงกรึบ ๆ ซึ่งนั่นก็คือเสียงของการเสียดสีกันของกระดูก เมื่อมาถึงตรงนี้ แม้ไม่ต้องเดิน แค่เพียงเคลื่อนไหวเข่าก็จะเกิดอาการปวดขึ้นมา และเมื่อปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรังก็อาจจะต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยเดินเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อขาถูกใช้งานน้อยลงและสุดท้ายก็กลายเป็นเดินไม่ได้

          การดูแลรักษาอาการปวดเข่าในเบื้องต้นนั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ลดการใช้เข่าเท่านั้นเองเช่น หลีกเลี่ยงการนั่งยอง ๆ คุกเข่า นั่งขัดสมาธิรวมทั้งหลีกเลี่ยงการเดิน ขึ้น-ลงบันได และสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากก็จำเป็นที่จะต้องลดน้ำหนักด้วยให้น้อยลง เพื่อให้หัวเข่าได้รับแรงกระแทกลดลงหรือจะใช้กายบริหารเข้าช่วยก็ได้ โดยท่ากายบริหารสำหรับข้อเข่าเสื่อมนั้นก็ง่าย ๆ นั่งหลังพิงเก้าอี้แบบสบาย ๆ จากนั้นก็ยืดขาไปข้างหน้ากระดกปลายเท้าขึ้นแล้วเกร็งไว้ จากนั้นขยับลงทำข้างละ 10 ครั้ง และหลังจากที่กล้ามเนื้อคุ้นชินกับท่านี้แล้ว สามารถเพิ่มน้ำหนักที่ข้อเท้าด้วยถุงทราย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น

          นอกจากท่านั้นแล้วการบริหารท่านอนก็มีเช่นเดียวกันโดยเป็นการนอนหงายราบกับพื้น แล้วยกขาขึ้นสูงจากพื้นประมาณ 1 คืบ แล้วกระดกปลายเท้าเข้าหาตัว ค้างไว้สัก 10 วินาที แล้วสลับข้างกันไปมา 10 ครั้ง หลังจากนั้นก็นอนคว่ำกับพื้นแล้วงอเข่าเข้ามา กระดกปลายเท้าเข้าค้างไว้ 10 วินาที สลับไปมา 10 ครั้ง เช่นกัน

          ยังมีการบำบัดในรูปแบบอื่น ๆ ที่ช่วยบำบัดอาการข้อเข่าเสื่อมได้ด้วยเหมือนกัน เช่น การกินอาหารเสริม ฝังเข็ม หรือรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันก็สามารถทำให้อาการข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นได้เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับอาการที่เป็น แต่หากเป็นมากเข้าก็ควรปรึกษาแพทย์จะดีกว่า

          เมื่อรู้เช่นนี้แล้วอาการปวดเข่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมองข้าม ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับหัวเข่าของเรา เพื่อให้เราสามารถเดินได้ไปอีกนานครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 

ยังไงก็หมั่นดูแลตัวเองและคนที่เพื่อนๆรักด้วยนะครับ
ข้อเข่าหรือข้อต่อต่างๆเพื่อนๆใช้งานมันทุกวันๆ
ถ้าไม่ดูแลมันก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
อาจจะถึงขั้นที่เดินไม่ได้เลยนะครับ
อย่าให้เป็นเลยจะดีที่สุดครับ
เพราะเป็นแล้วไม่มีความสุขหรอกครับ
ทำอะไรที่อยากทำก็ลำบาก
ไปที่ไหนที่อยยากไปก็ลำบาก
ผมขอฝากไว้ด้วยนะครับ
ขอให้เพื่อนๆและคนที่เพื่อนๆรักมีสุขภาพดีครับ

ผมเป็นห่วงเพื่อนๆของผมทุกคนนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับขอให้สุขภาพแข็งแรง
และมีความสุขกับบทความต่างๆของผม
สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ยาฉีดสารน้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่า

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน และขอต้อนรับสำหรับเพื่อนใหม่ที่เข้ามาครั้งแรกด้วยนะครับ
พอดีช่วงปีใหม่ยุ่งๆเลยหายไปหลายวันต้องขอโทษด้วยวันนี้กลับมาแล้วครับ
ปัจจุบันมีการนำยาฉีดข้อเข่าเข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง
หรือบางคนเรียกว่าน้ำไขข้อเทียม
และชื่อทางการคือยาไฮยาลูโรนิค
สำหรับผู้ที่มีน้ำในข้อเข่ามากหรือข้อบวมอักเสบ
แต่น้ำนั้นเป็นน้ำที่มีความหนืดน้อย
หมอจะทำการดูดน้ำนั้นออก
จากนั้นจึงฉีดยากลุ่มนี้เข้าไปแทน
มีความใกล้เคียงกับน้ำหล่อเลี้ยงธรรมชาติ
และยังไปกระตุ้นเซลล์บริเวณเยื่อหุ้มข้อที่อยู่โดยรอบ
ซึ่งมีหน้าที่สร้างน้ำในข้อให้สร้างน้ำที่มีคุณภาพดี
เพื่อการหล่อลื่นข้อเข่าที่ดี

ข้อบ่งชี้และข้อห้ามของการฉีดยากลุ่มไฮยาลูโรนิค
ทั่วไปจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อแม้ได้รับการรักษาด้วยยา
และวิธีรักษาที่ไม่ใช้ยา เช่น การทำกายภาพบำบัด
และการออกกำลังกายอย่างเต็มที่
และยังใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ยาต้านอักเสบ
เนื่องจากแพ้ยาหรือทนผลข้างเคียงไม่ได้
รวมไปถึงมีโรคร่วมอื่นๆที่ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนข้อได้
ข้อห้ามของการฉีดยากลุ่มนี้คือ
การติดเชื้อในข้อหรือโดยรอบข้อที่เข็มจะต้องผ่าน
เพราะอาจจะนำเชื้อเข้าไปภายในข้อได้
และผู้ที่มีประวัติแพ้โปรตีนจากสัตว์ปีก
เพราะยาบางตัวสกัดมาจาดหงอนไก่ อาจเกิดอันตรายได้
จากรายงานวารสารการแพทย์ปี พ.ศ.2552
ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างยากลุ่มนี้กับยาฉีดเข้าข้อเสียรอยด์
ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นข้อมูลจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้ 7 ฉบับ
ประกอบด้วยผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม 606 ราย
โดยติดตามผู้ป่วย 54 สัปดาห์
พบว่าช่วง 4 สัปดาห์แรก กลุ่มที่ได้รับยาสเตียรอยด์
มีอาการปวดลดลงกว่ามาก
แต่ภายหลังจาก 8 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับยาไฮยาลูโรนิค
มีอาการปวดน้อยกว่า แถมยังยืดเวลาการผ่าตัดได้ด้วย

ขนาดของยาที่ใช้ให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 เข็ม
ต่อเนื่องนาน 3-5 สัปดาห์
ขึ้นอยู่กับขนาดโมเลกุล
ถ้ายาที่มีขนาดโมเลกุลเล็ก จะไม่ค่อยระคายไม่ค่อยมีการแพ้
แต่ต้องฉีดต่อเนื่องนาน 5 สัปดาห์
ส่วนยาที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ อาจจะพบปฏิกิริยาการแพ้
แต่การฉีดจะฉีดเพียง 3 สัปดาห์ต่อเนื่องเท่านั้น
ราคายาก็อยู่ที่ประมาณ 12,000-15,000 บาท/คอร์ส
โดยทั่วไปฤทธิ์ยาจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
แต่บางรายก็อาจจะได้ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละรายไป

ผลข้างเคียงจะมีเหมือนกับการฉีดยาเข้าข้อทั่วไป
คือจะต้องระวังการติดเชื้อข้อ เนื่องจากภายในข้อเป็นสุญญากาศ
ปราศจากเชื้อ หารเกิดเอาเข็มที่มีเชื้อฉีดเข้าไป
อาจจะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อข้อได้
และอาจจะพบเลือดออกตามปลายเข็มที่ไปโดนเส้นเลือดได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือเทคนิคของการฉีด
ถ้าไม่ดีพอฉีดยาไม่เข้าข้อทำให้ยาตกอยู่ในเนื้อเยื่อรอบเข่า
จะทำให้ระคายเคือง อาจจะเกิดการบวม อักเสบ
และมีอาการปวดได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนจะฉีดยา
ต้องแน่ใจว่าปลายเข็มอยู่ภายในข้อแล้วเท่านั้น

เพื่อนๆคนไหนที่เป็นก็ต้องลองศึกษาดูเอานะครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเป็นก็ใช้การยืดการออกกำลังกาย
และทานอาหารเสริมแทนถ้าเพื่อนๆชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นนะครับ
และที่สำคัญก่อนจะทำควรจะต้องศึกษาให้ดีก่อน
สิ่งที่ดีที่สุดคือการไม่เป็นโรคครับ
ผมจึงหาทุกวิถีทางเพื่อมาแบ่งปันเรื่องราวให้กับเพื่อนๆ
หมั่นดูแลข้อเข่าของคุณบ้างนะครับ
เพราะคุณใช้งานมันทุกวันอย่าปล่อยมันจน
ทำให้คุณเป็นหนักถึงขั้นเดินไม่ได้เลยก็แล้วกัน
ผมเป็นห่วงเพื่อนๆของผมทุกคนนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับขอให้สุขภาพแข็งแรง
และมีความสุขกับบทความต่างๆของผม
สวัสดีครับ